วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๑๕ เมื่อผมได้ทุนดูงานจาก JICA ตอนที่ ๓

บทความนี้ต่อจาก
เรื่องที่ ๑๓ เมื่อผมได้ทุนดูงานจาก JICA ตอนที่ ๑
เรื่องที่ ๑๔ เมื่อผมได้ทุนดูงานจาก JICA ตอนที่ ๒

หลังจากที่เดินทางถึง JICA Kyushu International Center ที่ Kitakyushu ในวันที่ ๒๖ พ.ค. ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นอาทิตย์ วันหยุดราชการ รุ่งขึ้นเช้าวันจันทร์ ๒๗ พ.ค. เราก็เริ่มโปรแกรมกันอย่างเป็นทางการ โดยช่วงเช้าเป็นการแนะนำ JICA และชี้แจงวัตถุประสงค์ของการสัมมนาและโปรแกรมของแต่ละวัน เนื่องจากผมเป็นเด็กบ้านนอกไม่เคยได้รับทุนต่างประเทศมาก่อนจึงตื่นเต้นมากเพราะมีการจ่ายเงินสดให้จำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยเลี้ยงตลอดการเข้าร่วมสัมมนา ซึ่งการจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงทาง JICA จ่ายโดยหลักการเดียวกับหน่วยงานผมเลยคือวันไหนมีการเลี้ยงอาหารก็หักค่าอาหารออกจากเบี้ยเลี้ยงตามจำนวนมื้อ นอกจากนี้เราต้องกรอกข้อมูลด้านสุขภาพเพื่อทำประกันสุขภาพสำหรับการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น และของสำคัญอีกอย่างคือเข็มกลัดสัญญลักษณ์ JICA ซึ่งเราต้องติดตลอดเวลาที่อยู่ในการดูแลของ JICA




เมื่อเสร็จจากการประชุมชี้แจง พวกเราก็ขึ้นรถบัสออกเดินทางจาก JICA Kyushu International Center ที่ Kitakyushu ไปยัง Oita ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ ๓ ชั่วโมง เราแวะกินอาหารเที่ยงระหว่างทาง โดยรถไปจอดให้ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง แล้วให้ไปหากินเอาเองตามอัธยาศัย เพราะได้รับเบี้ยเลี้ยงไปแล้ว คณะจากประเทศอื่นๆเดินเขาไปที่ Food center แต่พวกเราหมอไทย ๔ คนเดินหาร้านที่ดูเข้าท่าตามประสาคนที่เรื่องกินเรื่องใหญ่และมีสตางค์(เบี้ยเลี้ยง)  มื้อนี้เราไม่กินราเมงเปลี่ยนไปกินพวกของทอดกันบ้าง ผมกินเป็นชุดเทมปุระ หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยังจุดหมายคือ Oita

ถึงที่พักเอาข้าวของเก็บอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเข้าร่วมพิธีเปิดอย่างเป็นทางการของ Seminar on Dialysis Technology in Japan พิธีเปิดจัดอย่างหรูหราและเป็นพิธีการมากตามแบบฉบับของญี่ปุ่น
พิธีเปิดเริ่มประมาณบ่าย ๒ โมง โดยมี Mr.Ichikawa ซึ่งเป็น Vice-President ของ JICA เป็นผู้กล่าวต้อนรับและกล่าวเปิด จากนั้นมีการกล่าวต้อนรับโดย Mr.Fukushima Deputy Director-General, International Cooperation Bureau, Ministry of Foreign Affairs คงเป็นแนวกองความร่วมมือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศอะไรทำนองนั้น ต่อด้วย Mr.Kakudo ซึ่งเป็น Director, Medical and Assistive Device Industries Office, Ministry of Economy, Trade and Industry และ Mr.Hirose, Governor Oita Prefecture.

เมื่อเสร็จพิธีการเปิดและกล่าวต้อนรับแล้วก็เข้าสู่ภาควิชาการ โดยเริ่มจากการนำเสนอในหัวข้อ The Eastern Kyushu Medical Valley Initiative โดย Mr.Nishiyama, Director, Commerce, Industry and Labor Department, Oita Prefecture
และการนำเสนอในหัวข้อ Present Situation of Dialysis in Japan โดย Dr.Tomo, Deputy Director, Oita University Hospital, Blood Purification Center
เมื่อจบการบรรยายหัวข้อนี้ก็เป็นการพัก ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสพบ Mr.Shirokaze ซึ่งเป็นผู้ที่เคยไปฟังผมบรรยายสรุปเกี่ยวกับการบริหารจัดการงบกองทุนโรคไตที่ สปสช.เมื่อต้นปี ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมเนียมญี่ปุ่นแกขอบคุณใหญ่เลยที่ผมต้อนรับแกอย่างดีและนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับ Eastern Kyushu Medical Valley จากการคุยกับผู้ที่มาร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้อีกหลายๆคน ผมเลยถึงบางอ้อว่าทำไมผมถึงได้รับเชิญจาก JICA เพราะ Mr.Shirokaze ผู้นี้แกเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเครือ Asahi Kasei ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ให้ Eastern Kyushu Medical Valley และ JICA นั่นเอง

ช่วงสุดท้ายของพิธีการในวันนี้หลังจากพักเป็นการนำเสนอในหัวข้อ Present Situation of Dialysis in the Participant's Country จากผู้เข้าร่วม ๘ ประเทศ ในส่วนของประเทศไทยเรามอบให้คุณหมอสกานต์เป็นผู้นำเสนอ





หลังจากพิธีเปิดและสิ้นสุดการนำเสนอของผู้เข้าร่วมจาก ๘ ประเทศแล้ว ประมาณ ๕ โมงครึ่งเกือบๆ ๖ โมงเย็นก็มีงานเลี้ยงต้อนรับ ซึ่งก็เป็นงานพิธีการอีกเช่นกัน มีการกำหนดว่าใครนั่งโต๊ะไหนตำแหน่งไหน เมื่อทุกคนเข้านั่งประจำที่แล้วฝ่ายเจ้าภาพก็จะทยอยกันลุกขึ้นมายื่นนามบัตรแนะนำตัวเราก็แลกนามบัตรกลับไป ที่ญี่ปุ่นนี่นามบัตรมีความสำคัญมากเจอกันครั้งแรกนี่ต้องรีบชักนามบัตรยิงใส่กันเลย
จากนั้นก็เป็นพิธีการเริ่มด้วยการกล่าวต้อนรับจากเจ้าของบ้านคือ Mr.Hirose, Governor of Oita Prefecture ซึ่งเป็นผู้ที่มีอารมณ์ดี ต่อด้วยการนำดื่มอวยพรให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาโดย Mr.Kitano, President of Oita University และการกล่าวขอบคุณจากผู้แทนผู้เข้าร่วมสัมมนาจาก ๘ ประเทศ ซึ่งคราวนี้เป็นหน้าที่ของคุณหมอจิโรจ เมื่อเสร็จพิธีการก็มีการเสิร์ฟอาหาร ระหว่างนั้นก็มีการแสดงฟ้อนรำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีบรรดาคุณป้าออกมาร่ายรำอย่างสวยงาม
บนโต๊ะอาหารบรรยากาศเต็มไปด้วยไมตรีจิตร พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จิบเหล้าสาเกกันอย่างสนุกสนาน ผมโชคดีที่ได้รับการจัดให้ร่วมโต๊ะกับ Mr.Hirose และ Mr.Ichikawa ผมบอก Mr.Hirose ไปว่าเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓ ผมเคยเดินทางมาที่ Beppu ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งของ Oita Prefecture และชอบออนเซ็นมาก แกชอบใจใหญ่ลุกขึ้นยืน แกะเข็มกลัดที่เสื้อนอกแกมากลัดให้ผม เป็นเข็มกลัดรูปบ่อน้ำร้อนสัญญลักษณ์ของ Oita ซึ่งเป็นดินแดนของออนเซ็นที่มีชื่อที่สุด ผมเลยแซวไปว่าผมติดเข็มกลัดนี้แล้วสามารถไปออนเซ็นได้ฟรีทุกแห่งใน Oita หรือเปล่า เลยเฮกันทั้งโต๊ะ
งานเลี้ยงต้อนรับเลิกประมาณ ๓ ทุ่ม ก่อนงานเลิกสักครึ่งชั่วโมงก็เป็นช่วงที่เราลุกจากโต๊ะไปทักทายโต๊ะอื่นๆกัน

Mr.HiroSe, Governor of Oita Prefecture

Mr.Kitano, President of Oita University





Mr.Ichikawa, Vice-President JICA

เข็มกลัด JICA และ Oita Prefecture

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๑๔ เมื่อผมได้ทุนดูงานจาก JICA ตอนที่ ๒


ความเดิมต่อเนื่องจากตอนที่ ๑ เรื่องที่ ๑๓ เมื่อผมได้ทุนดูงานจาก JICA ตอนที่ ๑

ในที่สุดผมก็ได้นั่งเครื่องบินชั้น Business class ของ JAL จากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบิน Narita ประเทศญี่ปุ่น เราไปถึง Narita อย่างปลอดภัยประมาณ ๗ โมงครึ่งตามเวลาท้องถิ่น รอเอากระเป๋าเสร็จเรียบร้อยประมาณ ๘ โมง ต้องรีบออกไปผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง เพราะเราต้องขึ้นเครื่องต่อไป Fukuoka เที่ยวบินเวลา ๐๙.๔๕ น.
เมื่อออกมาถึง ต.ม.ตกใจเลยครับเพราะแถวยาวมาก ดูแล้วเราไม่น่าจะไปขึ้นเครื่องทันเวลา จึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ ต.ม.ที่ยืนกำกับแถวอยู่ว่าเราจะต้องรีบไปขึ้นเครื่องต่อไป Fukuoka เวลา ๐๙.๔๕ น. เราเป็นแขกของ JICA พร้อมกับเอาหนังสือเชิญภาษาญี่ปุ่นให้ดู เขารีบพาเรา ๔ คนลัดคิวไปช่องทางด่วน เราเลยรู้ว่าในเที่ยวบินจากสุวรรณภูมิมีคณะจากประเทศอื่นมาพร้อมกับเรา ทุกคนบินจากประเทศตนเองมาต่อเครื่อง JAL ที่สุวรรณภูมิ คณะอื่นๆเลยพลอยใบบุญเรามาทางลัดผ่าน ต.ม. ใช้เวลาแสกนนิ้วแป๊บเดียว ไม่ถามออะไรมากเพราะมีบัตรเบ่งจาก JICA เราเลยไป check in เครื่อง ANA All Nippon Airways ได้ทันเวลา

เมื่อถึงสนามบิน Fukuoka มีเจ้าหน้าที่ของ JICA มายืนถือป้ายรอรับ พอคณะเราพร้อมแกก็พาเดินลากกระเป๋าไปขึ้นรถมินิบัสที่แกเป็นพนักงานขับรถเอง ที่ตลกคือเราออกมาเที่ยงกว่าแกไม่พูดถึงเรื่องกินอาหารเลย เราก็คิดว่าคงใช้เวลาเดินทางจากสนามบินไปที่พักไม่นานมาก เอาเข้าจริงเราใช้เวลาเดินทางจากสนามบิน Fukuoka ไปยัง JICA Kyushu International Center ที่ Kitakyushu ประมาณ ๑ ชั่วโมงนิดๆ
JICA Kyushu International Center ที่ Kitakyushu นี่ถือเป็น campus ใหญ่ มีที่พัก สถานที่ฝึกอบรม โรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่เดียวกัน

เมื่อถึงที่หอพักมีเลซองเป็นผู้หญิง ๒ คนมาต้อนรับ แจก JICA Pass card ซึ่งเป็นบัตรที่เราต้องแขวนตลอดเวลาที่อยู่ที่ JICA Kyushu International Center และใช้เป็นคีย์การ์ดห้องพักให้เราเอาข้าวของไปเก็บแล้วลงมาพบกัน
เราลงมาแกก็ตั้งท่าจะอธิบายอะไรให้ฟัง พวกเราเลยบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย แกเลยพาไปที่ cafeteria ซึ่งอีก ๑๕ นาทีจะปิด เราต้องไปเรียนรู้การสั่งอาหารด้วยระบบกดเมนูที่ตู้แล้วจ่ายเงินกับตู้ได้บัตรคิว ไปรอรับอาหาร มื้อนั้นสั่งมั่วๆไปแต่อร่อยมากเพราะหิว และโชคดีที่แลกเงินเยนติดตัวไปบ้างแล้ว
หลังจากอิ่มหมีพีมัน เราก็ออกมาฟังเลซองบรรยายวิธีปฏิบัติตัวในการพักที่หอพัก และแจ้งโปรแกรมของวันรุ่งขึ้นว่าจะต้องทำอะไรกันบ้าง ก่อนจะแยกย้ายกันไปอาบน้ำพักผ่อนตามอัธยาศัย เพราะเหนื่อยกับการเดินทางไกล



หอพักของ JICA Kyushu International Center ที่ Kitakyushu








JICA Pass Card

อาหารมื้อแรก หิวจนลืมถ่ายรูป





อิ่มแล้วมานั่งฟังเลซองบรรยาย

เย็นนั้นพวกเราหมอไทย ๔ คนนัดไปกินมื้อเย็นด้วยกัน ตั้งใจว่าจะไปหาพวกราเมงอร่อยๆกินกัน เจอน้องวิศวกรคนไทยจากหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งที่รับทุน JICA มาฝึกงาน ๑ ปี น้องเลยพาเดินไปใกล้ๆที่พัก เป็นร้านขายราเมงร้านเล็กๆแต่จัดร้านได้สวยงาม เข้าไปในร้านจึงพว่าเป็นร้านแบบครอบครัวมีป้าอายุประมาณ ๗๐ กว่าปีอยู่ในชุดยูกาตะคอยต้อนรับ มีสามีในวัยเดียวกันเป็นคนปรุงราเมงตามสั่ง ทั้ง ๒ คนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เห็นเมนูแล้วสั่งไม่ถูกเลยเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น ป้าแกเห็นเราเป็นคนต่างชาติก็เลยเดินไปหยิบเมนูที่เป็นรูปภาพมาให้พวกเราเลือก จะเป็นชุดคือมีราเมงและอย่างอื่นประกอบด้วย เมื่อชุดที่แต่ละคนสั่งมาถึง ด้วยความมีไมตรีจิตรเต็มไปด้วย service mind ป้าแกจะยืนดูว่าเรากินเป็นหรือเปล่า พอเห็นเราเก้ๆกังๆแกรีบกุลีกุจอมาแนะนำด้วยการชี้ให้เราหยิบโน่นไปปรุง หยิบนั่นไปผสมกับไอ้นี่ด้วยสีหน้านิ้มแย้มตลอดเวลา เรื่องรสชาตินี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ผมว่าอร่อยกว่าราเมนร้านดัง ๒-๓ เจ้าในบ้านเราเยอะเลย สำหรับราคาแต่ละชุดก็ตกประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ บาท หลังจากกินอิ่มก็เดินย่อยอาหารรอบๆที่พักซึ่งสงบเงียบมาก แทบจะไม่มีรถยนต์เลย เดินสักพักก็กลับเข้าห้องพักกัน ในห้องพักก็เหมือนหอพักนักศึกษาทั่วไปห้องไม่ใหญ่แต่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ไม่มี wifi แต่มีสาย LAN ให้ใช้อินเตอร์เน็ตได้ฟรี ผมมีโน๊ตบุ๊คติดไปด้วยเลยสบาย คนที่ใช้สมาร์ทโฟนแย่หน่อย คืนนั้นหลับสบายเพราะอ่อนล้ามาจากการเดินทาง




บรรยากาศภายในร้านราเมง
อุปกรณ์และเมนูมาตรฐานบนโต๊ะ
เมนูภาพสำหรับชาวต่างชาติ

ชุดที่ผมสั่งหน้าตาสวยและอร่อย



ภายในห้องพัก

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๑๓ เมื่อผมได้ทุนดูงานจาก JICA ตอนที่ ๑

ชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะได้รับทุนไปต่างประเทศเหมือนคนอื่น เพราะไม่เคยเข้าคอร์สกวดวิชาภาษาอังกฤษแล้วไปสอบเหมือนคนอื่น
แต่เหมือนโชควาสนาจะกำหนดไว้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตผมต้องไปต่างประเทศด้วยทุนอะไรสักอย่าง

ช่วงเดือนมกราคม ๒๕๕๖ มีการติดต่อมาจากสำนักงานองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าไจก้า JICA ว่าจะมีคณะจากญี่ปุ่นมาขอดูงานเรื่องการบริหารจัดการกองทุนโรคไตว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) บริหารจัดการเรื่องนี้อย่างไรผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถึงได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
ปกติการมีคณะดูงานจากต่างประเทศแบบนี้เลขาธิการ สปสช. จะเป็นผู้ทำหน้าที่ต้อนรับเอง หรือไม่ก็มอบหมายให้รองเลขาธิการฯที่รับผิดชอบเรื่องนี้เป็นผู้แทน
แต่ครั้งนี้เลขาธิการฯ แทงหนังสือมอบให้รองเลขาธิการฯ รองเลขาธิการฯก็แทงต่อว่าไม่ว่างมอบที่ปรึกษาอาวุโส ที่ปรึกษาอาวุโสก็โทรศัพท์หาผมบอกว่าไม่เคยรู้เรื่องการบริหารกองทุนโรคไตมอบหมายให้ผู้อำนวยการจัดการไปเองแบบเบ็ดเสร็จก็แล้วกัน

เมื่อคณะเดินทางมาถึงผมในฐานะผู้จัดการแผนงานสนับสนุนระบบบริการโรคไตวายในขณะนั้นจึงต้องทำหน้าที่รับหน้าเสื่อต้อนรับคณะที่มาดูงานและบรรยายสรุป คณะที่มาในวันนั้นเป็นคณะเล็กๆภายใต้การนำของเลขานุการสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และชาวญี่ปุ่นอีก ๒-๓ คน หนึ่งในนั้นคือ Mr.Shirokaze จาก Asahi Kasei Corporation ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าบริษัทนี้ทำเกี่ยวกับอะไร แต่หลังจากผมบรรยายสรุปวันนั้นคนที่ซักถามมากที่สุดคือนายคนนี้ และแกได้พูดถึงเทคโนโลยีใหม่ๆในญี่ปุ่นเกี่ยวกับเครื่องผลิตน้ำสำหรับใช้กับเครื่องไตเทียม และการผลิตบุคลากรที่เรียกว่า clinical engineering ซึ่งเป็นเหมือนคนที่ดูแลเครื่องมือต่างๆทางการแพทย์ แต่สามารถเจาะเลือดผู้ป่วย แทงเข็มเพื่อให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ หลังจากนั้นก็ร่ำลากันไป เจ้าหน้าที่ผมบอกว่าวันนี้ ผ.อ.นำเสนอและตอบข้อซักถามเป็นภาษาอังกฤษได้เยี่ยมโดยดูจากสีหน้าของคณะที่มา

จนถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของ JICA ประจำประเทศไทยว่าทาง JICA ที่ญี่ปุ่นต้องการให้ผมเขียนใบสมัครเพื่อเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง Seminar on Dialysis Technology in Japan ที่ประเทศญี่ปุ่น และส่งใบสมัครมาให้ทางอีเมล์
ผมยังงงๆว่าทำไมเขาถึงระบุตัวผม เพราะปกติเวลามีทุนอะไรมามักจะมาถึงสำนักงานแล้วสำนักงานจะเป็นผู้พิจารณาเองว่าให้ใครไป(ซึ่งไม่เคยถึงผมสักที ฮิๆๆ) ผมต้องนั่งกรอกใบสมัครประมาณ ๑๐ หน้า ที่มีลักษณะเหมือนการเขียนรายงานการปฏิบัติงานเป็นภาษาอังกฤษว่าผมมีประวัติความเป็นมาอย่างไรทั้งการศึกษาและการทำงานในอดีตจนถึงปัจจุบัน ภารกิจของ สปสช.คืออะไร และหน่วยงานที่ผมรับผิดชอบมีหน้าที่อะไรบ้าง ปัญหาและอุปสรรคของการทำงานนี้มีอะไรบ้างคิดว่าจะแก้ไขได้อย่างไร และสุดท้ายคือคิดว่าจากการไปเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้จะได้อะไรที่เป็นประโยชน์กลับมาใช้กับภารกิจที่รับผิดชอบ
หัวข้อไม่กี่หัวข้อแต่เด็กบ้านนอกจบเรียนโรงเรียนบ้านสะบารังแบบผมนี่นับว่ายากเอาเรื่องเลย นั่งใช้เวลา ๒ วันจึงเขียนเสร็จ ส่งใบสมัครกลับไปให้ทาง JICA ญี่ปุ่น ก็ต้องลุ้นระทึกอีกครั้งตอนที่ต้องให้ผู้บังคับบัญชาลงนาม ไม่รู้จะอนุญาตหรือเปล่าเพราะเป็นอะไรที่ไม่เหมือนปกติ เจ้าของทุนระบุตัวมาเลยว่าต้องเป็นผม เลขาธิการฯก็คุยกับรองเลขาธิการฯว่าจะเอาอย่างไรดี โชคดีที่เจ้านายเข้าใจเลยอนุญาต
หลังจากนั้นไม่นานทาง JICA ก็มีหนังสือตอบรับให้ผมเข้าร่วมสัมมนาดังกล่าวในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖

การติดต่อกับ JICA ทั้งญี่ปุ่นและไทยใช้อีเมล์ตลอด ไม่เคยต้องไปติดต่อที่สำนักงาน JICA ประเทศไทยเลย ทาง JICA ส่ง Training and Dialogue Program ซึ่งเป็นรายละเอียดของการสัมมนาว่ามีวัตถุประสงค์อะไรบ้าง ผู้เข้าร่วมสัมมนาต้องเตรียมอะไรบ้าง และโปรแกรมของแต่ละวันว่าทำอะไร พักที่ไหน ผู้ประสานงานที่ญี่ปุ่น และข้อมูลของเกาะ Kyushu และ Eastern Kyushu Medical Valley ตลอดจนข้อมูลของ JICA และหนังสือเชิญเป็นภาษาญี่ปุ่นสำหรับแสดงกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น พร้อมกับให้เรากรอกข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ พร้อมกับขนาดตัวส่งกลับไปให้เขา

จากข้อมูลที่ส่งมาจึงได้รู้ว่าการไปสัมมนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจาก ๘ ประเทศ คือไทย เวียดนาม พม่า อินเดีย อินโดนิเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอัฟริกาใต้ ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศกำลังพัฒนาทั้งนั้น คิดในใจดังๆว่าคราวนี้เราคงได้คุยกับเพื่อนจนเมื่อยมือเลย

จนใกล้ถึงกำหนด ทาง JICA ส่ง e-ticket มาให้เป็นของสายการบิน JAL สายการบินประจำชาติของญี่ปุ่น เป็นตั๋ว ๔ เที่ยวบินด้วยกันคือจากสุวรรณภูมิไป Narita และตั๋วภายในประเทศจาก Narita ไป Fukuoka และขากลับภายในประเทศจาก Miyazaki ไป Haneda และจาก Haneda ไปสุวรรณภูมิ พร้อมกับบอกว่าเมื่อถึง Narita จะมีเจ้าหน้าที่ JICA ถือป้ายมารอรับ และมีรายชื่อผู้เข้าร่วมสัมมนาจากประเทศไทย ๔ คน คือนอกจากผมแล้วยังมีคุณหมอจิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์, คุณหมอสกานต์ บุนนาค หมอโรคไตจาก รพ.ราชวิถี และคุณหมอไกรวิพร เกียรติสุนทร หมอโรคไตจากศิริราช ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าอย่างน้อยมีเพื่อนคนไทย

จนถึงวันเดินทาง วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ผมก็เป็นกะเหรี่ยงลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๑ ใบ สะพายกระเป๋าโน๊ตบุ๊คและของใช้ที่จำเป็นและเสื้อผ้าสำรอง ๑ ชุดไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ check in ที่เคาน์เตอร์ของสายการบิน JAL เมื่อผ่านกระบวนการเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ให้บัตร ๑ ใบบอกว่าผ่าน ต.ม.แล้วเชิญไปนั่งที่ Sakura JAL Lounge  ผมถึงได้รู้ว่าได้นั่ง Business class เป็นบุญก้นจริงๆ หยิบ e-ticket ที่ JICA ส่งให้ถึงได้รู้ว่าเขาบอกไว้ว่า Business class แต่ผมอ่านข้ามไปเอง ดูราคาค่าตั๋วไป-กลับ ๔ เที่ยวบินรวมกันปาเข้าไป ๘๗,๕๐๐ บาท นี่ถ้าให้จ่ายเองคงแย่เลย เลยรีบไปผ่านกระบวนการออกนอกประเทศของ ต.ม.ซึ่งไม่ยุ่งยากเพราะใช้หนังสือเดินทางราชการ แล้วไปนั่งเต๊ะจุ๊ยใน Sakura JAL Lounge ที่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เข้าไปนั่งอีกเมื่อไหร่

...เดี๋ยวไปต่อตอนที่ ๒ กันนะครับ...


หนังสือเชิญจาก JICA เป็นภาษาญี่ปุ่น สำหรับแสดงกับ ต.ม.ญี่ปุ่น

กะเหรี่ยงนั่งรอใน Sakura JAL Lounge

เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัส Business class

มีอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมดให้ผู้โดยสารใช้ระหว่างเดินทาง

นอนสบายไปเลย